จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

สยบทุกความเชื่อ ! นักวิจัยชี้ “คนชอบทำห้องรก” สมองพัฒนา กว่าห้องที่เป็นระเบียบ

โดย เจ้าของร้าน

               เชื่อว่าหลายต่อหลายคนเป็นกันอย่างมากคือ พอถึงห้องนอนปั๊ปวางของทันที จนเกิดการสะสม ทำให้ห้องรก ระกเกะระกะ ขาดความเป็นระเบียบ โดยหลายคนอาจจะมองคนจำพวกนี้ว่า เป็นคนขี้เกียจ เป็นคนไม่เอาไหนหลังจากที่เห็นห้องเละเทะแบบนี้
แต่วันนี้ เราได้นำบทความหนึ่งจากเว็บไซต์ TIME ซึ่งได้ออกมาเผยแพร่ผลวิจัย ว่าคนที่มีนิสัยชอบทำห้องรกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ฉลาด ความจำดี
ซึ่งทางด้าน Robert Thatcher ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสารเคมีในสมองที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ถึงกับประกาศออกมาว่ายิ่งเราปล่อยของวางเกะกะมากเท่าไหร่ เราก็จะฉลาดมากขึ้นเท่านั้น
เขาให้เราลองคิดง่าย ๆ ว่ามนุษย์ที่นึกอยากจะวางอะไรก็วาง เก็บข้าวของไม่เป็นที่ วางอะไรไว้ตรงไหนก็ไม่เคยจำ จะเป็นมนุษย์ที่สมองมีการคิดอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่า คนที่นึกอยากจะวางอะไรก็วาง เก็บข้าวของไม่เป็นที่ วางอะไรไว้ตรงไหนก็ไม่เคยจำ จะเป็นคนที่สมองมีการคิดอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นนิสัยโดยอัตโนมัติว่าต้องคิดหลาย ๆ เรื่องซับซ้อนไปพร้อม ๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ตื่นเช้ามาหาแว่นตาที่วางไว้ไม่เจอ ก็จะทำให้เกิดความคิดซับซ้อนกว่าปกตินั่นคือ เราจะต้องคิดย้อนหลังกลับไปว่าก่อนที่เราจะถอดแว่น เราทำอะไรอยู่เป็นขั้นเป็นตอน ทำให้สมองได้คิดซับซ้อนขึ้นกว่าการที่เรานั้นวางเป็นที่ เพราะ เราแทบไม่คิดอะไรเลย เพราะ รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนนั่นเอง
ทั้งนี้ งานวิจัยได้สรุปเพิ่มเติมว่า นิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก คือคนที่สามารถตั้งรับกับอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับห้องที่รกนี้ จะฝึกให้เราเจอกับความยุ่งยากตลอดเวลา เดี๋ยวแว่นหาย เดี๋ยวหนังสือหาไม่เจอ จนเมื่อเราไปเจอความยุ่งยากอื่น ๆ ในชีวิต เราจะตั้งสติรับกับมันได้เร็วกว่าคนอื่นนั่นเอง


ขอบคุณบทความดีๆจาก https://www.khaosocial.net/

ถ้าเก่งมาก ก็ต้องยิ่งแกล้งโง่เป็น อ่านไว้เตือนใจ อย่าให้ชีวิตต้องพังเพราะหลงทนงตัว





ถ้าเก่งมาก ก็ต้องยิ่งแกล้งโง่เป็น อ่านไว้เตือนใจ อย่าให้ชีวิตต้องพังเพราะหลงทนงตัว
มีแม่ทัพคนหนึ่งเล่นหมากล้อมเก่งมาก


ไม่ค่อยมีคนเล่นชนะได้

วันหนึ่ง.. แม่ทัพออกรบผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า..

“เล่นหมากล้อมอันดับ 1 ของประเทศ”

แม่ทัพไม่เชื่อจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและเล่นด้วย

ปรากฎว่า.. เจ้าของบ้านแพ้ ทั้ง 3 กระดาน

แม่ทัพหัวเราะ “555 แกเอาป้ายลงได้แล้ว”

แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความดีใจ




ไม่นาน.. แม่ทัพรบชนะกลับมา

ผ่านมาที่เดิม ก็ยังเห็นป้าย แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม

แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน และท้าดวลอีก ปรากฎว่าครั้งนี้

แม่ทัพแพ้ทั้ง 3 กระดาน แม่ทัพประหลาดใจมาก

ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร

เจ้าของบ้านตอบว่า

“ครั้งก่อน ท่านมีภารกิจออกรบ

ข้าน้อยจะไม่ทำท่านเสียกำลังใจ ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้

แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา ข้าน้อยก็ไม่ต้องออมมือแล้ว”
 
คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือ..ชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ

มีใจกว้างขวาง ก็พอ

การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน

“รู้ ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดใช่ว่า จะไม่รู้”

ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง

ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่…..

เพจ: ธรรมะผ่อนคลาย


ขอบคุณ ที่มา: tummathailand.com และ http://www.siamnews.online/2018/11/blog-post_3.html

การเลี้ยงปลาด้วยฟางข้าว เทคนิคดี ๆ ทำให้ปลาโตเร็ว สมบูรณ์ ขายได้ราคาดี





การทำฟางหรือหญ้าหมัก เพื่อเป็นอาหารการเลี้ยงปลา ช่วยลดต้นทุนได้ วัสดุในประเทศไทยที่ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ทั้งๆที่มีประโยชน์ แต่กลับถูกทิ้งอย่างไร้คุณค่ามีอยู่ 2 อย่างคือ ฟางข้าว และน้ำมะพร้าว ทั้งสองอย่างนี้มีปริมาณมหาศาลในแต่ละปี แต่กลับไร้คุณค่า
ในเรื่อของการนำฟางข้าวมาเลี้ยงปลา ความคิดนี้เป็นของคุณมงคล ทวีสิน เกษตรกร ต.ตะกุดไช อ. ชนแดน จ. เพชรบูรณ์ ที่เป็นผู้ค้นพบการเลี้ยงปลาด้วยฟางข้าวเป็นอาหารโดยบังเอิญ
กล่าวคือ คุณ มงคล ทวีสิน เคยเลี้ยงปลาด้วยอาหารสำเร็จรูปที่ขายอยู่ตามท้องตลาด แต่ไม่สำเร็จ ประสบกับการขาดทุนจึงยกเลิกและนำฟางข้าวมาถมบ่อเพื่อที่จะกลบบ่อ ปรากฏว่าเห็นปลาที่เหลืออยู่มากินฟางข้าวที่จมอยู่ในน้ำ ฟางข้าวก็หมดไป น้ำในบ่อก็ไม่เน่าเสีย



เมื่อลองจับปลามาสังเกตดูก็เห็นว่าปลามีสภาพอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี จึงเกิดความคิดที่ว่า ฟางข้าวน่าจะนำมาเลี้ยงปลาได้ อย่างแน่นอนเพื่อที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง คุณ มงคล ทวีสิน ได้ลงมือทำการพิสูจน์อย่างจริงจัง
โดยปล่อยลูกปลาสวาย ปลาทับทิม ปลาสลิด ปลาดุกอุ้ย ลงในบ่อปลา โดยปลาที่ปล่อยนั้นเป็นปลากินพืชทั้งหมด แล้วใช้กองฟางสุม เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปีก็ทดลองจับปลาออกขาย
ปรากฏว่าได้ปลาขนาดใหญ่ตามที่ตลาดต้องการ ปลาสวายขนาดเกือบ 2 กิโลกรัม ปลาทับทิมตัวละ 3-4 ขีด ปลาดุกอุ้ย 3-4 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ปลาสลิดก็มีขนาดใหญ่ นี่คือที่มาของความคิดที่ใช้ฟางข้าวเลี้ยงปลา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีธรรมชาติที่ไม่เคยมีใครทราบมาก่อน
การค้นพบครั้งนี้ถือว่ามีคุณค่าต่อเกษตรกรอย่างมหาศาล ขอให้เกษตรกรที่นำวิธีการเลี้ยงปลาด้วยฟางข้าวไปใช้ จงระลึกถึงเจ้าของความคิด และช่วยกันแพร่หลักคิดนี้ให้กว้างไกลออกไปจะได้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรไทย



โดยรวมในภาวะปัจจุบันปลาน้ำจืดจากแหล่งน้ำธรรมชาติมีน้อยลง ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เกษตรกรส่วนหนึ่งได้หันมาเลี้ยงปลาน้ำจืดจำหน่าย แต่ก็ต้องประสบสภาวะขาดทุน หรือไม่ก็ได้กำไรน้อย ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
เนื่องจากอาหารสำเร็จรูปมีราคาแพง การเลี้ยงปลาในแนวธรรมชาติแม้จะใช้เวลานานกว่าการเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูป แต่คุณภาพของปลาเหมือนกับปลาที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ จึง ขายได้ในราคาสูง ประกอบกับต้นทุนน้อย จึงประกันได้ว่าคำว่าขาดทุนหรือกำไรน้อยไม่มีอย่างแน่นอน
อยากมีรายได้มากๆก็ให้เพิ่มจำนวนบ่อมากขึ้น และขยันหาฟางข้างให้เพียงพอต่อการฤดูการเลี้ยงปลาและฤดูการเก็บเกี่ยวการเลี้ยงปลาด้วยฟางข้าว จะใช้บ่อเก่าหรือขุดใหม่ก็แล้วแต่ ความลึกของบ่อควรจะเป็น 2 เมตร เป็นอย่างน้อย ขนาดของบ่ออาจจะเป็น 1 ไร่ หรือ 2-3 งาน เมื่อนำน้ำใส่ในบ่อแล้ว ให้หามูลโค-กระบือ ใส่ไว้เพื่อเพาะลูกไร ก็จะเกิดลูกไรและแมลงตัวเล็กๆ ซึ่งจะได้เป็นอาหารของปลากินเนื้อต่อไป



การ เลี้ยงปลาด้วยฟางข้าวปล่อยลูกปลากินพืช เช่น ปลาสวาย ปลานิล ปลาทับทิม ปลาสลิด และลูกปลากินเนื้อ เช่น ปลาหมอ ปลาดุกอุ้ย ในพื้นที่บ่อ 1ไร่ ปล่อยลูกปลาจำนวน 10,000 ตัว ปลากินพืชจะกินฟางข้าว ส่วนปลากินเนื้อจะกินลูกไรและแมลงที่เกิดจากฟางข้าว ปลาทั้งสองประเภทจะไม่ทำลายซึ่งกันและกัน ยกเว้นปลาช่อนการให้ฟางข้าว
เกษตรกรจะต้องกองฟางข้าวไว้ที่ริมบ่อ ส่วนหนึ่งให้จมน้ำ ควรวางฟางข้าวไว้ใต้ลม เพื่อให้ได้รับอากาศจากลมพัด และฟางจะได้ไม่กระจายไปทั่วบ่อ เมื่อฟางข้าวใยบ่อยุบตัวลงก็ดันฟางข้าวที่ขอบบ่อลงไป ปลาก็จะมากินฟางข้าวที่เน่าเปื่อย ปลาสวาย ปลาสลิด ก็จะมากินฟางข้าวโดยตรง ส่วนปลาทับทิมจะกิน หนอน แมลง และ ลูกไรที่เกิดจากการหมักของฟางข้าว
การเลี้ยงปลาโดยวิธีนี้ไม่ต้องให้อาหารอื่นใดเลยนอกจากฟางข้าวเพียงอย่าง เดียว เกษตรกรจะต้องกำหนดให้เวลา 1 ปี หมดฟางข้าวพอดี ก็จะเหลือแต่ฟางข้าวที่เป็นตอซังแข็งๆ เท่านั้นที่เหลืออยู่ที่ริมบ่อ การจับปลาจะต้องดูว่าช่วงใดราคาแพง ให้เลือกจับในช่วงนั้น หากช่วงใดราคาไม่ดี เราก็ขยายเวลาออกไปก่อน เพราะไม่มีต้นทุนอาหาร ยิ่งนานออกไปปลาก็ยิ่งโต ปลาก็ยิ่งได้ราคาการเจริญเติบโตในระยะเวลา 1 ปี การเติบโตของปลาเฉลี่ยแล้วปลาสวายตัวละ 2กิโลกรัม ปลาทับทิม ตัวละ 3-4 ตัวต่อกิโลกรัม ปลาหมอ ขนาด 5-6 กิโลกรัม



คุณภาพ ของปลาเหมือนกับปลาที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ปลาไม่ผอม ไม่มีกลิ่น การคำนวณรายได้ต่อบ่อ ต่อไร่ คำนวณอยาก เนื่องจากขึ้นอยู่กับจำนวนอัตราการรอดของลูกปลาเป็นสำคัญ หากได้น้ำหนักโดยรวมประมาณ1 ตัน ต่อพื้นที่บ่อ 1 ไร่ ซึ่งเป็นอัตราขั้นต่ำก็มีรายได้แล้วไม่น้อยกว่า 60,000 บาท
และ ที่สำคัญที่คันบ่ออย่าปล่อยให้ว่าง ควรหาพืชยืนต้นมาปลูก จะเป็นมะพร้าวตาล หรือ มะพร้าวน้ำหอม ชมพู่ทับทิมจันทร์ ฝรั่ง ส้มโอ พืชสวนครัว หรือพืชเก็บยอดก็ดี เพื่อสร้างรายได้รายวันรายได้รายเดือน ส่วนปลาก็เป็นรายได้รายปี คิดแบบนี้ ทำแบบนี้ ครอบครัวมีอนาคตครับ หลักคิดนั้นสำคัญครับ ท่านที่อ่านแล้วนำไปปฏิบัติลงมือทำ ในการทำครั้งต่อไป หรือ คิดที่จะปลูกสิ่งใดๆต่อไป ท่านควรคิดเพื่อสร้างหลักคิดเป็นของตัวเอง คิดให้ดี ก้าวหน้า และลงมือทำครับวิธีการทำฟางหรือหญ้าหมัก
1. สำหรับอนุบาลลูกปลาเช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาสลิดเป็นต้น หลังจากตากบ่อและโรยปูนขาวแล้วนาฟางข้าว หญ้าสดหรือแห้งใส่ร่วมกับปุ๋ยมูลสัตว์ชนิดต่างๆ อัตรา 100-120 กก.ต่อไร่ต่อเดือนของมูลสัตว์แห้ง (มูลไก่หรือมูลวัว) และฟางแห้งต่อปุ๋ยมูลสัตว์เท่ากับ 1:1 (หากใช้หญ้าสดควรใส่ปูนขาวเล็กน้อย)



ทำการใส่ฟางแห้งสลับกับมูลสัตว์เป็นชั้นๆที่มุมบ่อ 4 ด้านหรือเป็นกองๆรอบบ่อและใส่น้าลึก 20 ซม. ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วันหรือเมื่อสีน้ำเปลี่ยนเป็นสีชาจึงเพิ่มระดับน้าเป็น 50-60 ซม. หลังจากนี้ประมาณ 3-5 วัน จึงนำลูกปลามาปล่อย
2. สำหรับปลาวัยรุ่นหรือปลาขุน ในช่วงระหว่างการเลี้ยงปลาให้ใส่ปุ๋ยและฟางหมักเดือนละครั้งในปริมาณ 100-120 กก.ต่อไร่ การทำวิธีนี้จะช่วยให้มีอาหารธรรมชาติในบ่อเพียงพอ



ดังนั้น การให้อาหารอาจให้สมทบวันเว้นวันได้ซึ่งเหมาะกับการเลี้ยงปลาเบญจพรรณ ได้แก่ ปลาตะเพียน ปลานิล ปลาจีน ปลาสวาย เป็นต้น






ที่มา: http://sopprap.lampang.doae.go.th

เทคนิคการขยายพันธุ์มะนาว “ด้วยใบ” ใช้แค่ 1 ต้น แต่ขยายได้เป็นพันๆ กิ่ง!



  "มะนาว" นับเป็นพืชเศรษฐกิจอีกอย่างที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันมะนาวมีความต้องการทางตลาดสูงและราคาก็ดี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งนั้นมะนาวมักจะมีราคาแพงเอามากๆ เลยทีเดียว
     วันนี้จึงขอนำเสนอ เทคนิคการขยายพันธุ์มะนาว “ด้วยใบ” ตามแบบฉบับของ ครูติ่ง ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ธ.ก.ส. บ้านเกาะเนียง จังหวัดสตูล มาให้ลองได้ศึกษาและลองทำดู ซึ่งสามารถขยายพันธุ์มะนาวได้ทีละมากๆ อีกด้วยค่ะ
     วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.กิ่งและใบมะนาว ที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป
2.กาบมะพร้าว
3.มีดขนาดเล็ก
4.น้ำยาเร่งราก
5.หนังยาง
6.ถุงร้อน
7.ห้องพ่นหมอก(ถ้ามี)
     ขั้นตอนวิธีการทำ
1. นำกาบมะพร้าวมาตัดเป็นท่อนยาวราว 2.5-3 ซม. แล้วนำไปแช่น้ำไว้จนชุ่มจากนั้น เอาค้อนทุบจนกาบมะพร้าวแตกนุ่มขึ้น (ทุบเพื่อทำให้กาบมะพร้าวนุ่มและม้วนเป็นก้อนได้ง่าย)
2. เมื่อได้กาบมะพร้าวที่นุ่มดีแล้ว ให้นำมาห่อม้วนเป็นรูปทรงกลม แล้วรัดหนังยางให้แน่น จากนั้นนำตะปูทิ่มลงไปบริเวณด้านบนของกาบมะพร้าวให้เกิดรู เพื่อลดการเสียดสีเวลานำใบเสียบลงไปและง่ายต่อการเสียบกิ่งมะนาว
3. จากนั้นทำการเตรียมใบมะนาว โดยการตัดใบให้ติดกับก้านด้านบนใบเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-1.5 ซม. ดังรูป
4. ขั้นต่อมาตัดใบมะนาวออกให้เหลือเพียงครึ่งใบ การทำแบบนี้จะให้การขยายพันธุ์มะนาวเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดภาระการคายน้ำของใบมะนาว
5. จากนั้นทำการกรีดเปลือกหุ้มก้านของใบ วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการออกรากของมะนาว โดยให้ใช้มีดกรีดตามความยาวของก้านมะนาว 1-3 รอย (ขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังอย่ากรีดแรงเกินไปจนทำให้ก้านมะนาวขาดออกจากกัน) หากไม่ทำเช่นนี้รากจะออกเฉพาะที่ปลายรอยตัดเท่านั้น ทำให้ต้นมะนาวที่นำไปปลูกไม่แข็งแรงออกรากน้อย (ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเพิ่มพื้นที่ในการออกรากมากขึ้นนั่นเอง)
6. จากนั้นให้นำกิ่งที่กรีดเรียบร้อยแล้ว ไปจุ่มในน้ำยาเร่งราก แล้วเอาไปผึ่งลมให้แห้งสนิท ถ้าไม่แห้งสนิทเมื่อนำไปเสียบในกาบมะพร้าวอาจจะทำให้กิ่งและใบมะนาวเน่าได้
7. เมื่อกิ่งและใบมะนาวแห้งดีแล้ว นำไปเสียบในกาบมะพร้าวที่เตรียมไว้จนมิดก้าน พอเสียบได้ 4 ก้อน ก็ให้นำนำมามัดรวมกันแล้ว ไปจุ่มน้ำให้ชุ่มแล้วใส่ไว้ในถุงร้อน ทำถุงร้อนให้พองออกแล้วมัดปากถุงให้แน่น อย่าให้ใบมะนาวสัมผัสกับถุงร้อนเด็ดขาด ถ้าเกษตรกรท่านใดมีห้องพ่นหมอก สามารถนำพันธุ์มะนาวที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้าเพาะในห้องพ่นหมอกได้เลย อากาศและความชื้นในห้องพ่นหมอกจะช่วยให้แตกรากเร็วขึ้นและที่สำคัญเพิ่มอัตราการรอดของพันธุ์มะนาวได้มาก
9. เมื่อได้ถุงที่มีก้อนกาบมะพร้าวเสียบใบมะนาวอยู่ด้านในเรียบร้อยแล้ว ให้เอาไปตั้งไว้ใต้ต้นไม้ที่มีร่มเงา ให้โดนแสงบ้างเล็กน้อย เมื่อผ่านไป 1 เดือน จะพบว่ามะนาวจะเริ่มออกรากหรือเริ่มติดตายอด หรือถ้าเป็นมะกรูดจะใช้เวลานานประมาณ 3-4 เดือน จึงจะเริ่มออกรากและติดตายอด ซึ่งถ้าจะให้สมบูรณ์ควรรอทั้งรากและตาออกมาทั้งคู่ จึงเริ่มนำไปลงถุงชำต่อไปได้เลยค่ะ
     ข้อดีในการขยายพันธุ์มะนาวด้วยใบ
     ถึงแม้ว่าเกษตรกรมีพันธุ์มะนาวที่ดี เพียงต้นเดียวก็สามารถขยายพันธุ์มะนาวได้เป็นจำนวนหลายร้อยหลายพันต้นได้ ซึ่งได้ผลผลิตจำนวนมากกว่าการปักชำกิ่มะนาวหรือการขยายพันธุ์มะนาวที่นิยมกัน


ข้อมูลและภาพจาก postnoname

โรคดึงผม ชอบถอนผมตัวเอง อาการแบบนี้เข้าข่ายโรคจิตเวชหรือไม่




โรคดึงผม ชอบถอนผมตัวเอง อาการแบบนี้เข้าข่ายโรคจิตเวชหรือไม่ ใครมีอาการแบบนี้ยกมือขึ้น !
คุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการแปลก ๆ ชอบดึงทึ้งผมของตัวเองหรือเปล่าคะ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควรทำ แต่ก็ไม่อาจบังคับใจตัวเองได้ หากคุณมีอาการนี้ก็ไม่ต้องตื่นตกใจไปว่าคุณเป็นพวกโรคจิต วันนี้เราจะมาเผยเรื่องราวของโรคและการรักษาที่ถูกต้องให้ได้ฟังกันค่ะ


โรคดึงผม คืออะไร อาการเป็นอย่างไร

สำหรับโรคนี้เรียกว่า โรคถอนผมตัวเอง (Trichotillomania) หรือ โรคดึงผม เป็นภาวะผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง และเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมที่ย้ำคิดย้ำทำ อาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ แต่มักพบผู้ป่วยมีอาการร่วมกันทั้ง 2 แบบ          - อาการดึงผมที่รู้ตัว : อาจเกิดได้จากความรู้สึกคันศีรษะยุบยิบ หรืออาจรู้สึกว่าเส้นผมไม่ตรง ไม่เรียบ เลยอยากดึงออกให้สบายใจขึ้น หรือบางคนก็มีอารมณ์กังวลและเครียดมาก่อน แต่พอได้ดึงผมแล้วก็จะรู้สึกผ่อนคลายหรือฟิน          - อาการดึงผมที่ไม่รู้ตัว : มักพบการถอนผมโดยที่ไม่รู้ตัวขณะกำลังทำกิจกรรมบางอย่างเพลิน ๆ เช่น นั่งอ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ บางคนเป็นมากถึงขนาดถอนจนผมร่วงเกือบหมดหัว หรือหายเป็นหย่อม ๆ จนมีลักษณะผมที่แหว่งไปเลยก็มี

โรคนี้พบได้ประมาณ 1-2% ในประชากรทั่วไป โดยส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ส่วนบริเวณที่พบการดึงและถอนขนได้บ่อยก็คือ เส้นผม หรือขนตามตัว (ขนตา, ขนจมูก, ขนหน้าอก, ขนเพชร, คิ้ว)

โรคดึงผม เกิดจากสาเหตุอะไร

พฤติกรรมดึงผม ถอนผมตนเอง ปัจจุบันยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่เบื้องต้นสันนิษฐานสาเหตุได้ดังนี้

1. จากพยาธิสภาพของโรคเอง คือ มีความผิดปกติในสมองส่วนที่เกี่ยวกับการแสดงออกของพฤติกรรม หรือมีระดับของสารเคมีบางตัวในร่างกายผิดปกติ จึงมีโอกาสที่จะมีปัญหาในด้านการกระทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ ซึ่งบางรายอาจออกมาเป็นการทำร้ายตนเองอย่างรุนแรงซ้ำ ๆ เช่น โขกศีรษะ หรือถอนผมตนเอง เป็นต้น

2. จากพยาธิสภาพทางจิตใจ เกิดความเครียด เช่น ปัญหาการเรียน การทำงาน มีปัญหาความสัมพันธ์กับครอบครัว กลัวการทอดทิ้ง มีปัญหาทางด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น

3. จากปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางด้านสังคม การดำรงชีวิตอยู่ในสังคม อาจเกิดจากความคับข้องใจหากมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว หรือที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน เช่น มีการรับประทานอาหารที่ซ้ำซาก หรือการจำเส้นทางเดินทาง หรือการจัดสิ่งของให้อยู่อย่างเดิม ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เป็นไปตามสภาพแวดล้อมปกติที่เคยอยู่ จะทำให้มีความคับข้องใจ ซึ่งอาจแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมการทำร้ายตนเองได้

4. จากภาวะโรคจิตเวชบางอย่าง เช่น มีพฤติกรรมวิตกกังวลประเภทย้ำคิดย้ำทำ หรือการเป็นโรคซึมเศร้า

5. พันธุกรรม เช่น อาจมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคดึงผมเหมือนกัน



วิธีรักษาโรคดึงผมตัวเอง

หากมีอาการมาก โรคนี้ก็จะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ดึงผมมาก ๆ จนผมแหว่งไปบางส่วน หรือหัวล้าน ทำให้ไม่มั่นใจ จะออกไปข้างนอกก็ต้องใส่วิก ใส่หมวกปกปิด นาน ๆ เข้าอาจเกิดความเครียดหรือเป็นโรคซึมเศร้าตามมา ดังนั้น ผู้ป่วยโรคนี้จึงควรเข้ารับการรักษา ซึ่งเป็นการรักษาร่วมกันระหว่างจิตแพทย์และแพทย์ผิวหนัง โดย

1. รักษาอาการผมร่วงกับแพทย์ผิวหนัง

2. ใช้แชมพูและสระผมตามสภาพผม

3. หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำร่วมกันในครอบครัว

4. ป้องกันการถอนผมตนเอง เช่น การนำวัสดุที่หาได้ในบ้าน เช่น หมวกคลุมผมเวลาอาบน้ำ ผ้าคลุมผม หมวก ฯลฯ มาคลุมที่ศีรษะ เพื่อป้องกันการดึงผมตนเอง ในระยะแรก ๆ อาจจะรำคาญและจะดึงออกตลอดเวลา แต่เมื่อเอามือจับศีรษะแล้วไม่พบเส้นผม ไม่สามารถถอนผมตนเองได้ ในระยะต่อมาก็อาจช่วยลดพฤติกรรมถอนผมลงไปในที่สุด

5. หากไม่สามารถหยุดถอนผมตัวเองได้ ให้ทำบันทึกตารางที่ถอนผม เมื่อทำได้ดีขึ้นจะได้มีกำลังใจ

6. ในกรณีที่เป็นเรื้อรังควรปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือ ควรรักษาร่วมกับพฤติกรรมบำบัดจะได้ผลดีที่สุด และคนใกล้ตัวก็มีส่วนช่วยรักษาได้ เช่น  ไม่ควรดุหรือตำหนิผู้ป่วยแรง ๆ เพราะจะยิ่งทำให้เครียดจนดึงผมมากยิ่งขึ้น จึงต้องค่อย ๆ ช่วยกันปรับพฤติกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมด้วยว่า ผู้ป่วยมักจะดึงผมในช่วงเวลาไหน มีอารมณ์อย่างไร สถานการณ์เป็นอย่างไร เช่น ชอบดึงผมขณะนั่งดูทีวี ขณะอ่านหนังสือ อยู่ในอารมณ์เครียด ฯลฯ เพื่อให้ผู้ป่วยทราบจะได้ควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ง่ายขึ้น




***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 30 เมษายน 2561


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

- เฟซบุ๊ก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

- toptenthailand.com

- เฟซบุ๊ก "RH Club" คลับของคนรักสุขภาพและความงาม

และ https://health.kapook.com/view51408.html